รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
(บนเส้นทางจิตวิญญาณของลูกศิษย์ ขณะที่พวกเขาเดินตามท่าน... ในระหว่างเส้นทางนั้น ท่านอาจารย์มีบทบาทสำคัญมาก ท่านอาจารย์ นอกจากจะสอนเรื่อง พระพุทธเจ้า เต๋า และหลักธรรมทางจิตวิญญาณแล้ว ท่านยังแนะนำหนังสือ หรือพระคัมภีร์เล่มใดให้ พวกเขาอ่านบ้างไหมคะ? ท่านสามารถพูดถึงพระคัมภีร์ ที่สำคัญบางอย่างได้ไหมคะฦ) มันขึ้นอยู่กับพวกเขาเช่น ศาสนาหลายศาสนา มีพระคัมภีร์ดี ๆ มากมาย ที่เราสามารถศึกษาได้ (ใช่ค่ะ) บางครั้งนิกายหรือศาสนาอื่น ก็มีพระคัมภีร์ที่ดีเช่นกัน และเราสามารถศึกษา พระคัมภีร์เหล่านั้นได้เช่นกัน ฉันไม่ได้ห้ามลูกศิษย์ของฉัน อ่านหนังสือใด ๆ เช่นในพระพุทธศาสนา มีพระคัมภีร์อันยิ่งใหญ่มากมาย (ค่ะ) ถ้าพวกเขาเข้าใจ พวกเขาก็สามารถอ่านมันได้ ถ้าพวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์ พวกเขาก็สามารถอ่านมันได้ แต่โดยปกติแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าใจจริง ๆ หลังจากการรู้แจ้งเท่านั้น พวกเขาจึงเข้าใจดีขึ้น ถ้ามีอะไร ที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาก็จะมาถาม (ค่ะ)(ท่านอาจารย์คะ ฉันขอถาม อีกคำถามหนึ่งได้ไหมคะ? ผู้คนมักอ้างว่า วิธีการหรือศาสนาที่พวกเขาเชื่อ คือธรรมะที่แท้จริง และคนอื่น ๆ อยู่ “นอกเต๋า” (ความนอกรีต) ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับว่า ควรนิยามคำว่า “นอกรีต” (ลัทธินอกรีต) อย่างไรคะ?) โอเค “เต๋า” แปลว่า สัจธรรม (ใช่ค่ะ) มันหมายถึงธรรมชาติของตัวเราเอง อาจารย์สูงสุดผู้ยิ่งใหญ่ของเราเอง หากเราไม่ได้อยู่ในนั้น เราก็อยู่ "ภายนอก" เมื่อเราอยู่ในนั้นแล้ว เราก็จะ "อยู่ข้างใน" (อยู่ในเต๋าของท่านเหรอคะ?) ภายในอาณาจักร แห่งธรรมชาติของตัวเราเอง ที่เราเข้าใจตัวเราเอง เมื่อถึงเวลานั้น ก็ว่าได้ว่าคุณอยู่ข้างใน และคุณรู้แจ้ง หากคุณยังไม่รู้ว่า คุณเป็นใคร (ค่ะ) และยังคงคลำหาอยู่ภายนอก แสดงว่าคุณก็อยู่ นอกเต๋า ไม่ใช่ว่าศาสนานั้น เป็นนอกรีต หรือบุคคลนั้นเป็นพวกนอกรีต ใครก็ตาม ที่ยังไม่ตระหนักถึงตัวเอง และไม่ได้ติดต่อกับพระเจ้า หรืออาจารย์สูงสุด ของตนเอง ก็คือนอกเต๋า ไม่ว่าจะเชื่อในศาสนา หรือลัทธิใดก็ตาม คุณเข้าใจสิ่งที่ฉัน หมายถึงไหม? (ค่ะ) นั่นคือ “นอกเต๋า”(ขณะนี้ท่านมีลูกศิษย์มากมาย ในไต้หวัน (ฟอร์โมซา) และทั่วโลก) ฉันมีอยู่บ้าง (ในบรรดาลูกศิษย์ของท่าน มีกี่คนที่สามารถช่วยเหลือ และช่วยสรรพสัตว์ ได้เหมือนที่ท่านทำคะ? มีความสามารถในการถ่ายทอดเต๋า และกอบกู้สรรพสัตว์ได้ค่ะ) หลายคน สามารถทำได้ในระดับหนึ่ง (ในระดับหนึ่งเหรอคะ?) ใช่ เร็วมาก แต่แน่นอนว่า ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง (เป็นอย่างนั้นเหรอคะ?) ต่างกันนิดหน่อย แต่พวกเขาทั้งหมด ก็มีความสามารถบางอย่าง ความสามารถที่แตกต่างกัน (แตกต่างกัน) พวกเขาทุกคน สามารถช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจและเชื่อ และมีความปรารถนาที่จะค้นหา ตัวตนที่แท้จริงของตนได้ (ขอบพระคุณค่ะ ท่านอาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ) ด้วยความยินดี ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามได้ ไม่เป็นไร หรือถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งใด คุณก็สามารถพูดได้คุณต้องการถามอะไรไหม? แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ? พวกคุณมาที่นี่เพื่อความสนุกใช่ไหม? โอเค ถามได้นะ ถ้าคุณต้องการ (ส่งไมค์มาทีนะคะ)(สวัสดีค่ะท่านอาจารย์) สวัสดี (ฉันขอถามถึงประโยค ที่ว่า "ความทุกข์คือโพธิ์" ค่ะ เราเคยได้ยินเรื่องนี้มาค่ะ) ใช่ (แต่ความทุกข์นั้น เป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากในใจ แต่โพธิ์หมายถึง การรู้แจ้ง) ใช่ (แล้วสองสิ่งนี้ จะเท่าเทียมกันได้อย่างไรคะ?) ฉันได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วมันเป็นแบบนั้น เพราะมีคนแปลผิด บางครั้งอาจแปลผิดเป็น "ความทุกข์" แต่ในภาษาสันสกฤต จริง ๆ แล้ว หมายถึง "มายา" มายา มายา และมายา หมายถึงสิ่งที่ไม่จริง เงา ตัวอย่างเช่น เราอาจดูเป็นแบบนั้น สูงและใหญ่ แต่เงาของเราอาจดูบิดเบี้ยว เตี้ย ดำ และแบนราบ นั่นก็มาจากเราเช่นกัน แต่ว่ามันไม่ใช่ เรื่องจริง คุณไม่สามารถคว้ามันได้ ถ้าไม่มีแสงแดด ไม่มีแสงสว่าง เงาก็ไม่มีอยู่เลย เข้าใจที่ฉันหมายถึงมั้ย บางคนให้ความสำคัญกับเงา ของตัวเองมากเกินไป จนมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของตน อย่างเช่น สมมติว่า ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง และเงาของฉันก็อยู่ตรงหน้าฉัน เขาจ้องมองเงาแล้วตัดสินฉัน จากสิ่งนั้น เช่น บอกว่าจมูกของฉันยาวเกินไป หรือหัวของฉันใหญ่เกินไป เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ก็มีความสมมาตรและมีสัดส่วนมาก ในทำนองเดียวกัน เมื่อเรามองดูโลกนี้ ก็มีปัญหา ความทุกข์ และเรื่องไร้สาระมากมาย และเราคิดว่า โลกก็เป็นแบบนั้น ความจริงมันไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว โลกก็เป็นเพียงเงาเท่านั้น ชีวิตจริง อาณาจักรที่แท้จริงเรา ต้องเห็นด้วยปัญญาของเรา แล้วคุณจะเข้าใจว่า “โอ้! โลกนี้ก็มาจากโลก แห่งความเป็นจริงเหมือนกันนะ” แต่อาณาจักรแห่งความจริงนั้น ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่เราคิด เมื่อนั้นก็จะกล่าวว่า “มายา ก็มาจากสัจธรรม” มากกว่าจะเป็น “ทุกข์คือโพธิ์” เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดมั้ย?(ดังนั้น “ความทุกข์ มิใช่โพธิ์ (การรู้แจ้ง) หรือคะ?”) มันก็เหมือนกัน (ความทุกข์ก็เป็นมายา...) (ลวงตาบางอย่างหรือคะ?) แต่มันก็เป็นเงาลวงตาเช่นกัน เงาลวงจากพระโพธิ์ เพราะเราไม่เห็นความจริง เราเห็นเพียงเงา ดังนั้นเราจึงคิดว่า “โว้ว!” ทั้งหมดเป็นทุกข์ ทุกข์ และทุกข์” ที่จริง มันก็มาจากโพธิ์ทั้งนั้น โพธิ์มีจริงและสวยงาม (ฉะนั้น โพธิ์ ก็คือปัญญา ที่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆ ที่เป็นของปลอมได้) ใช่ในภาษาสันสกฤตคือ "โพธิ์" ซึ่งแปลว่า การรู้แจ้ง แปลว่า "การตื่นรู้" เราทุกคนมีโพธิ์ ซึ่งเป็นพลังแห่งการรู้แจ้ง หลังจากที่เราบรรลุธรรมแล้ว หลังจากที่เราบรรลุโพธิ์แล้ว เราก็มองเห็นทุกข์ต่างไป... เพราะเรามอง จากมุมมองของเจ้าของบ้าน ก่อนหน้านี้ เรามอง จากมุมมองของแขก(แล้วถ้าบางครั้ง รู้สึกทุกข์หนัก ๆ แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกสุขขึ้นมา นั่นก็เป็น - การรู้แจ้งใช่หรือไม่คะ? นั่นก็เป็นโพธิ์เหมือนกันไหมคะ หรือว่าเป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง) มันก็แล้วแต่ - ไม่เสมอไป (ไม่เสมอไป ฉันจะรู้ได้อย่างไรหรือคะ?) ใช่ค่ะ คุณน่าจะเห็น... อย่างเช่น... หลังจากการรู้แจ้ง ความสุขที่คุณรู้สึก จะเป็นแบบถาวรและสมดุลมาก ความสุขจากภายนอกนั้น ไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว มันตื้นเขิน ไม่ลึกซึ้ง เช่น วันนี้มีคนรักคุณ และคุณก็มีความสุข แต่ถ้าพรุ่งนี้ เขาโกรธคุณ คุณจะไม่มีความสุขอีกต่อไป ความสุขแบบนั้น มันไม่มั่นคงเลย และขึ้นอยู่กับ ปัจจัยภายนอกเป็นอย่างมาก สำหรับผู้รู้แจ้ง บางครั้งโลกอาจไม่มั่นคง โลกภายนอกวุ่นวาย บางครั้งคนอื่น ไม่ปฏิบัติต่อคุณดีนัก แต่คุณยังคงมีสมดุล และมีความสุข เข้าใจที่ฉันหมายถึงมั้ย? (ขอบพระคุณค่ะ) แต่คุณจะยังคงจำได้ หากวันนี้มีคนปฏิบัติ ต่อคุณไม่ดี คุณอาจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เกี่ยวกับสถานการณ์นั้นและพูดว่า "วันนี้สถานการณ์ของฉัน ไม่ดีเลย เมื่อวานมันดีกว่า” แต่สิ่งนั้นจะไม่กระทบ ต่อความสุขที่มั่นคง ลึก ๆ ภายในของคุณ เข้าใจที่ฉันหมายถึงมั้ย? ถึงตอนนั้น คุณจะรู้ว่า ความสุขของคุณหลังจาก การรู้แจ้ง ไม่ใช่ความสุขธรรมดา ๆ โอเคไหม? (ขอบพระคุณค่ะ) ด้วยความยินดี (ท่านอาจารย์คะ ฉันขอถามอีกนิดนะคะ ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ จะตอบไปมากแล้วก็ตาม…) ดูเหมือนไมโครโฟนของคุณ ไม่ได้เปิดอยู่ (ฉันปิดมันไปก่อนหน้านี้ค่ะ) โอเค เชิญเลย(วิธีการหลักที่ท่านถ่ายทอด ให้กับเหล่าลูกศิษย์ของท่านคืออะไร? ที่ฉันหมายถึงคือ…) เข้าใจ (วิถีของท่าน... ท่านสามารถสรุปวิถีของท่าน เป็นประโยคง่าย ๆ เพียงไม่กี่ประโยคได้ไหมคะ?) โอเค ฉันเข้าใจ สิ่งที่ฉันพูด เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เมื่อฉันแนะนำของจริง ให้คุณรู้จัก... เช่น ฉันบอกคุณว่า ฉันมีคุกกี้วีแกน อยู่ที่บ้าน ซึ่งเป็นคุกกี้อังกฤษ ที่อร่อยที่สุด ซึ่งหวานและหอมมาก เป็นต้น นั่นเป็นเพียง ทฤษฎีและการแนะนำ คุกกี้จริงอยู่ที่บ้านแล้ว เมื่อคุณได้กินมันแล้ว ในที่สุด คุณก็ไม่จำเป็นต้อง อธิบายอะไรอีก ดังนั้นสิ่งที่ฉันพูดนั้น เป็นเพียงทฤษฎีและบทนำเท่านั้น เมื่อคุณยอมรับและต้องการมัน ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เมื่อฉันหยุดพูด คุณก็แค่นั่งเงียบ ๆ และได้รับความรู้แจ้ง เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเรารู้แจ้งแล้ว ในภาษาจีน ตัวอักษรคำว่า “การรู้แจ้ง” เขียนโดยใช้ ตัวอักษรของ “พระอาทิตย์” และ “พระจันทร์” ใช่หรือไม่? แปลว่า แสงสว่าง หรือ ความเจิดจ้า นั่นคือ “การรู้แจ้ง” ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ตัวอักษรประกอบด้วย พระจันทร์และพระอาทิตย์ แสดงว่า มีแสงสว่าง ในภาษาอังกฤษ ก็เช่นเดียวกัน “การรู้แจ้ง” หมายความว่า มีแสงสว่าง ฉะนั้น เมื่อคุณรู้แจ้งแล้ว คุณจะเห็นแสง (แห่งสวรรค์ภายใน) นี่คือสัญญาณ เข้าใจที่ฉันหมายถึงมั้ย? เหมือนตอนคุณ แต่งงาน สามีก็จะให้แหวนกับคุณ แหวนไม่ใช่การแต่งงาน แต่เป็นสัญลักษณ์ว่า คุณแต่งงานแล้ว และเขารักคุณดังนั้น คุณจะเห็น แสง (แห่งสวรรค์ภายใน) ซึ่งก็คือธรรมชาติของตัวเราเอง พลังของอาจารย์สูงสุด กำลังเริ่มทำงาน และคุณจะได้ยินเสียงด้วย เสียง (แห่งสวรรค์ภายใน) เสียงนี้ไม่เหมือน เสียงภาษาพูดของเรา เป็นเสียงพระพุทธเจ้า เสียงของพระเจ้า ซึ่งพระองค์สื่อสารกับเรา ภาษาพิเศษอย่างหนึ่ง เช่นดนตรี ซึ่งจะทำให้เรา มีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น ฉลาดขึ้น รักตัวเองมากขึ้น และมองเห็นชีวิต ได้ชัดเจนมากขึ้น(ขออนุญาตถามท่านอาจารย์ว่า ในศาสนาอื่น ๆ เช่น ศาสนาอี-ก้วนเต้า ในไต้หวัน (ฟอร์โมซา) ก็สอนให้ทำสมาธิ เหมือนกัน - โดยการทำสมาธิ พวกเขาก็จะเห็นแสงสว่างด้วย - ผู้นับถือบางคนบอกว่า พวกเขายังได้ยินเสียงอีกด้วย) โอเค (เมื่อเห็นแสงสว่างแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ การรู้แจ้งอย่างแท้จริง บางคนก็รู้สึกว่า ตนเองยังไม่ รู้แจ้ง) เข้าใจ (ดังนั้น การรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่นามธรรมมาก หรือเปล่าคะ) เข้าใจ แสงมีหลายประเภท บ้างก็ต่ำ บ้างก็สูง ก็เหมือนตอนที่เรา ไปโรงเรียน มีประถมกับมัธยม และในระดับประถมศึกษา ก็มีชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ชั้นประถมศึกษาปีที่สอง ปีแรก และปีที่สอง เหมือนกับวิทยาลัย ดังนั้น แสงธรรมดา แสงที่เรียบง่ายมาก ก็เหมือนแสงจากระดับที่หนึ่ง เช่น แสงสว่างในระดับที่หนึ่ง สามารถมองเห็นได้ง่าย บางทีตอนคุณนอนหลับคุณ ก็สามารถมองเห็นมันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม คุณยังต้องฝึกฝนอีกมาก และได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ เพื่อให้ทราบว่าแสงประเภทใด ที่สูงกว่า และดีกว่าจริง ๆ วิธีบ่มเพาะแสงนี้ และวิธีก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น มิฉะนั้น คุณอาจเพียงแค่ เห็นแวบหนึ่ง แต่แล้วคุณอาจล้มเหลว ในการรักษาวินัยทางศีลธรรม และจิตใจของคุณ อาจไม่บริสุทธิ์พอ ไม่มีใครแนะนำคุณว่า จะต้องปลูกฝังมันอย่างไร เพราะเหตุนี้ ฉันจึงสอนให้พวกเขารักษาศีล ทานวีแกน เจริญสมาธิ และทำความดี การปฏิบัติทั้งหมดนี้ เมื่อรวมกัน ช่วยให้เราปลูกฝังธรรมชาติ อันยิ่งใหญ่ของตัวเราได้ แล้วเราจะค่อย ๆ ตระหนักว่า การได้เห็นแสงสว่าง เพียงเล็กน้อยนั้นไม่ดีพอ(โอเคค่ะ ท่านเพิ่งพูดถึง การทำความดี การรักษาศีล และการทานวีแกน) ใช่ (ก่อนนี้ท่านบอกว่า การเห็นแสง (แห่งสวรรค์ภายใน) หมายถึงการรู้แจ้ง โดยทั่วไป สำหรับลูกศิษย์ของท่าน เมื่อบรรลุการรู้แจ้งแล้ว พวกเขาตระหนักรู้ถึงสิ่งใดกันแน่ การรู้แจ้งของพวกเขา เกี่ยวกับอะไรคะ?) โอเค ฉันเคยอธิบาย เรื่องนี้มาก่อนแล้ว เมื่อคุณรู้แจ้งแล้ว สมมติว่าคุณไม่เคยเห็น แสงสว่างเลย หรือคุณไม่เคยรู้สิ่งใดเลย หรือคุณไม่เคยมีความเชื่อ อย่างแท้จริง คุณไม่มีอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีสมาธิ ไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากเรียนกับฉัน คุณจะได้รับ ประสบการณ์ทันที บางคนต้องนั่งสมาธิ เป็นเวลานาน ก่อนที่จะเห็น แสง (แห่งสวรรค์ภายใน) แต่ถ้าคุณทำตามฉัน คุณจะเห็นมันได้ทันที เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่า “การรู้แจ้งฉับพลัน” ประสบการณ์การรู้แจ้งครั้งแรกนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นั่นเป็นเพียงวันแรก หลังจากนั้น ฉันจะสอนคุณถึง วิธีการพัฒนา การรู้แจ้งต่อไป สำรวจเพิ่มเติม และรู้จักตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มันเหมือนกับการเรียนภาษาอังกฤษ มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย แม้ว่าคุณพูดได้แค่ว่า "สบายดีไหม?" ก็ยังถือว่า เป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี นั่นหมายความว่า คุณรู้ภาษาอังกฤษบ้าง แต่มันจะเพียงพอหรือเปล่า?(โปรดอธิบายการรู้แจ้งของท่าน ในแต่ละวัน ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายที่สุด ท่านตระหนักรู้ ความจริงประเภทใดหรือคะ คุณช่วยให้คำใบ้เราหน่อยได้ไหม?) ฉันอยู่ที่ไหน ใช่ไหม? ฉันอยู่ในสถานะอนันต์ (สถานะอนันต์?) ใช่ แต่การใช้ภาษามนุษย์ อธิบายมัน ค่อนข้างน่าเบื่อ มันอธิบายยากจริง ๆ มันเป็นอนันต์และไร้ขอบเขต แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะอนันต์ และไร้ขอบเขตเช่นกัน เพราะเดิม เรามีครบหมดแล้ว จะใช้เท่าไรก็ได้ เท่าที่ต้องการ ถ้าไม่ใช้มัน มันก็จะอยู่เฉย ๆ เพราะฉะนั้น คุณจึงพูดไม่ได้ว่าคุณไม่มี สภาวะอนันต์และไร้ขอบเขต คุณมีอยู่แล้ว เพียงเพราะคุณไม่ได้ใช้มัน แล้วคุณก็ลืมมันไป ฉะนั้น หากมีอาจารย์ที่สอนคุณ ให้ใช้ปัญญา คุณจะรู้สึกว่า “โอ้! ฉันมีปัญญาจริง ๆ!” ฉันไม่ได้มา เพื่อให้คุณได้รู้แจ้ง ฉันมาเพื่อแนะนำคุณ ถึงวิธีการค้นพบส่วนที่วิเศษ และยอดเยี่ยมของตัวตน ของคุณอีกครั้ง คุณเข้าใจที่ฉันหมายถึงไหม? ฉันไม่สามารถให้สิ่งใดแก่คุณได้ เพราะคุณมีทุกอย่างอยู่แล้ว คุณไม่รู้ว่า จะเรียกมันกลับคืนมาได้อย่างไร คุณยุ่งมากเกินไป ยุ่งกับการเขียน ยุ่งกับการหาเงิน ยุ่งกับการ ตามจีบแฟน ยุ่งกับสารพัดเรื่อง แล้วลืมสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณ ที่อยู่ในตัวไป อะไรประมาณนั้น โอเคไหม?Photo Caption: พระจันทร์ที่บ้านเก่าของเรา พระจันทร์ที่จะมาถึง ทั้งสองไม่ได้มาจากบ้านที่แท้จริงของเรา
